ความเป็นมา
บทคัดย่อ
ข้อมูลที่ใช้ในการวิจัย
การดำเนินการวิจัย
ผลลัพธ์การวิจัย
ข้อสรุปการวิจัย
รายการอ้างอิง
คณะผู้วิจัย
กิตติกรรมประกาศ
แผนที่ซ้อนทับคำศัพท์
แผนที่แนวแบ่งเขตภาษา
ตารางสรุปร้อยละการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางและภาษาไทยถิ่นอื่นของประเทศไทย แยกตามหน่วยอรรถ
หน้าหลัก
»
การดำเนินการวิจัย
Th
|
En
การดำเนินการวิจัย
การดำเนินการวิจัยแบ่งเป็น 3 ส่วนใหญ่ ๆ คือ การวิเคราะห์คำศัพท์ การกำหนดเส้นแบ่งเขตคำศัพท์ (isogloss creation) และ การกำหนดแนวแบ่งภาษา (creation of language boundary)
การดำเนินการในส่วนแรก คือ การวิเคราะห์คำศัพท์ใช้วิธีการวิเคราะห์ตามแนวทางภาษาศาสตร์ที่ใช้อยู่เดิมเป็นหลัก ได้แก่ การกำหนดเกณฑ์การแยกศัพท์และเกณฑ์รูปแปรของศัพท์
ตัวอย่างผลการวิเคราะห์คำศัพท์ของหน่วยอรรถ "น้ำค้าง"
หน่วยอรรถ
ภาษาไทยถิ่นกลาง
ภาษาไทยถิ่นอื่น
น้ำค้าง
น้ำค้าง น่ำค่าง
น้ำหมอก เหมย ไอมง น้ำเมาะ หมอก น้ำเหมย เกีย ตึ๊กอึลเซิม เดี๊ยะกะล๊ะ ตึ๊กตอก อะตั๊บ เดี๊ยะคียง เป่อจอที ปยุ้งซุ้ย ตะลุก อาเฮะห์โมง หมอกหมวย
สำหรับการดำเนินการในส่วนที่ 2 และ 3 หัวใจสำคัญของการดำเนินการจะเป็นการนำระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์มาประยุกต์ใช้
ในส่วนที่2 นี้ ผลจากการวิเคราะห์และจัดกลุ่มคำศัพท์ในส่วนแรก ได้แก่ กลุ่มคำศัพท์ของภาษาไทยถิ่นกลางและกลุ่มคำศัพท์ของภาษาไทยถิ่นอื่นของแต่ละหน่วยอรรถจะถูกนำมากำหนดและลงรหัส และแสดงผลในรูปแผนที่แสดงเส้นแบ่งเขตคำศัพท์
ตัวอย่างผลการวิเคราะห์คำศัพท์ของหน่วยอรรถ "น้ำค้าง"
สำหรับในส่วนที่3 แผนที่แสดงเส้นแบ่งเขตคำศัพท์ 170 แผ่น จากการดำเนินการในส่วนที่ 2 จะถูกนำมาวิเคราะห์การซ้อนทับข้อมูลเชิงพื้นที่ โดยใช้ฟังก์ชันยูเนียน (union) ในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ฟังก์ชันดังกล่าวใช้ในการรวมชั้นข้อมูลแผนที่เส้นแบ่งเขตคำศัพท์ทั้ง 170 ชั้นเข้าด้วยกัน แผนที่ที่สร้างขึ้นจากการซ้อนทับ เรียกว่า ‘
แผนที่ซ้อนทับคำศัพท์
’ ใช้แสดงบริเวณที่มีความสอดคล้องของการซ้อนทับของกลุ่มคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นกลาง โดยระดับการซ้อนทับ 0-10% แสดงว่าบริเวณดังกล่าวมีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางน้อยที่สุด หรืออีกนัยหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าบริเวณดังกล่าวมีการใช้ภาษาไทยถิ่นอื่นมากที่สุด ในทางตรงกันข้าม ระดับการซ้อนทับ 91-100% แสดงว่าบริเวณดังกล่าวมีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางมากที่สุด จาก‘
แผนที่ซ้อนทับคำศัพท์
’ ของงานวิจัย ให้สีไล่ระดับจากเหลืองถึงน้ำเงิน แสดงถึง บริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางน้อยที่สุดจนถึงมากที่สุด กล่าวอีกนัยหนึ่ง คือ สีเหลืองเป็นบริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นอื่นมากที่สุดและสีน้ำเงินมีการใช้ภาษาไทยถิ่นอื่นน้อยที่สุด
ในการกำหนดและลากแนวแบ่งเขตภาษาระหว่างภาษาไทยถิ่นกลางและภาษาไทยถิ่นอื่นนั้น ผู้วิจัยเลือกเฉพาะบริเวณที่ที่มีการซ้อนทับของกลุ่มคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นกลางตั้งแต่ร้อยละ50 ขึ้นไป (>= 50%)
1
เป็นเขตภาษาไทยถิ่นกลาง และและเลือกบริเวณที่มีการซ้อนทับของกลุ่มคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นกลางน้อยกว่าร้อยละ50 (< 50%) เป็นเขตภาษาไทยถิ่นอื่น
ดังภาพ
อย่างไรก็ดี จาก
ภาพแผนที่
จะเห็นได้ว่า แม้ว่าบริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางจะมีการกระจายแบบเกาะกลุ่ม มีรูปร่างเป็นกลุ่มก้อน พอที่จะสามารถลากแนวแบ่งเป็นเลา ๆ ได้ แต่เนื่องจากบริเวณที่เว้าแหว่งขาดหายไป
2
ไม่ต่อเนื่องกันเป็นผืนใหญ่ ทำให้เป็นอุปสรรคสำคัญในการลากแนวให้สอดคล้องตามแนวขอบเขตการปกครองระดับตำบลได้ ผู้วิจัยจึงตัดสินใจไม่ใช้แผนที่นี้มาใช้ในการลากแนวแบ่งเขต เพราะจะก่อให้เกิดความคลาดเคลื่อนสูงในการลากแนวแบ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว ผู้วิจัยได้ทำการลดทอนรายละเอียดข้อมูล (generalize) ของ ‘
แผนที่บริเวณการใช้ภาษาไทยถิ่นกลาง >= 50%
’ ตามวิธีการทางแผนที่ (cartography) กระบวนการดังกล่าวเป็นการรวบ (aggregate) และลดทอนข้อมูล (generalize) อย่างมีหลักการทั้งในส่วนของข้อมูลเชิงบรรยาย (attribute data) และข้อมูลแผนที่ (spatial data) โดยดำเนินการทั้งหมดในระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์
‘แผนที่บริเวณการใช้ภาษาไทยถิ่นกลาง >= 50%’ สร้างจากการกำหนดเงื่อนไขเลือกเฉพาะบริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางตั้งแต่ร้อยละ 50 ขึ้นไป (50.0-100.0%) จาก ‘แผนที่ซ้อนทับคำศัพท์’ ตามขอบเขตการปกครองระดับตำบล
จากการพิจารณาผลลัพธ์ที่ได้จากการรวบข้อมูลตามขอบเขตอำเภอ จังหวัดและภูมิภาคภูมิศาสตร์ ผู้วิจัยตัดสินใจใช้ ‘แผนที่บริเวณการใช้ภาษาไทยถิ่นกลาง >= 50%’ ตามขอบเขตอำเภอ (รูปที่4.10) มาใช้เป็นข้อมูลฐานในการลากแนวแบ่งเขต เพราะบริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางปรากฏเป็นพื้นที่ต่อเนื่องกัน อยู่ในวิสัยที่จะกำหนดแนวขอบเขตได้ ดังนั้น ในงานวิจัยนี้
แนวแบ่งเขตภาษา ใช้ตามเส้นแบ่งเขตของอำเภอ ลากแบ่งระหว่างบริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางตั้งแต่ 50% ขึ้นไปและบริเวณที่มีการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางน้อยกว่า 50%
ในการลากแนวแบ่งนั้น ผู้วิจัยได้ลากแนวแบ่งตามแนวของพื้นที่ที่ครอบคลุมต่อเนื่องกันเป็นผืนใหญ่ ทั้งนี้ในพื้นที่เล็ก ๆ ที่อยู่กระจัดกระจายทั้งในบริเวณรอบนอกและบริเวณรอยต่อ ผู้วิจัยได้ใช้ ‘
แผนที่ซ้อนทับคำศัพท์
’ และ ‘
แผนที่บริเวณการใช้ภาษาไทยถิ่นกลาง >= 50%
’ ตามขอบเขตตำบล มาช่วยประกอบการพิจารณาลากแนว
ผลลัพธ์สุดท้ายที่เกิดในขั้นตอนนี้ได้แก่
แผนที่แนวแบ่งเขตภาษา
ทั้งนี้ ผู้วิจัยได้สรุปภาพรวมเกี่ยวกับ
ร้อยละการใช้ภาษาไทยถิ่นกลางและภาษาไทยถิ่นอื่นของประเทศไทยแยกตามหน่วยอรรถ
ไว้ในรูปแบบตารางด้วย
--
1
เหตุผลที่ใช้ค่า 50% เนื่องจากถือว่า ค่าดังกล่าวถือว่าเป็นค่าตรงกลางที่ใช้แบ่งกลุ่มคำศัพท์ภาษาไทยถิ่นของทั้งสองกลุ่มได้โดยไม่มีอคติ (unbias)
2
บริเวณเว้าแหว่ง คือบริเวณที่ปรากฏเป็นสีขาวในแผนที่ หมายถึงบริเวณดังกล่าวไม่มีข้อมูล ทำให้ไม่สามารถวิเคราะห์การซ้อนทับได้
ปรับปรุงข้อมูล ::
วันพฤหัสบดีที่ 27 สิงหาคม 2552 เวลา 13:55:8 น.